ข้อสอบวิชาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการประกันภัย
1.
สัญญาประกันภัยเกิดขึ้นเมื่อใด
ก.
เมื่อผู้เอาประกันภัยได้รับกรมธรรม์ประกันภัยจากบริษัทประกันภัยแล้ว
ข.
เมื่อผู้เอาประกันภัยได้รับกรมธรรม์ประกันภัยและชำระเบี้ยประกันภัยให้แก่บริษัทประกันภัยแล้ว
ค.
เมื่อผู้เอาประกันภัยได้ชำระเบี้ยประกันภัยให้แก่บริษัทประกันภัยแล้ว
ง.
เมื่อบริษัทประกันภัยตกลงรับประกันภัย แม้มิได้มีลายลักษณ์อักษร
2.
บุคคลผู้ซึ่งตกลงจะส่งเงิน ซึ่งเรียกว่า
“เบี้ยประกันภัย” หมายถึง
ก.
ผู้เอาประกันภัย
ข.
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเหตุที่เอาประกันภัย
ค.
ผู้รับประโยชน์
ง.
ถูกทุกข้อ
3.
การประกันภัยค้ำจุน คืออะไร
ก.
การประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองความรับผิดของผู้เอาประกันภัยที่มีต่อบุคคลภายนอกตามกฎหมาย
ข.
การประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองในการขนส่ง
ค.
การประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองรถยนต์ของผู้เอาประกันภัยสูญหายหรือไฟไหม้
ง.
การประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองต่อตัวรถยนต์ที่ได้รับความเสียหาย
4.
ลักษณะสำคัญของสัญญาประกันภัย คือ
ก.
เป็นสัญญาต่างตอบแทน
ข.
เป็นสัญญาที่ต้องอาศัยหลักสุจริตต่อกันอย่างยิ่ง
ค.
เป็นสัญญาที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดจึงสามารถฟ้องร้องบังคับได้
ง.
ถูกทุกข้อ
5.
ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ “ราคาแห่งประมูลประกันภัย” หมายความถึง
ก.
ราคาของวัตถุที่เอาประกันภัย
ข.
ราคาของวัตถุที่เอาประกันภัย หักด้วยราคาความเสื่อมสภาพ
ค.
ราคาของส่วนได้เสียที่กำหนดไว้ในสัญญาประกันภัย
ง.
ราคาที่จะได้รับการชดใช้เมื่อเกิดความเสียหาย
6.
ข้อใดไม่ถูกต้องตามกฎหมายในกรณีที่ได้ทำประกันภัยทรัพย์สินสิ่งเดียวกันหลายบริษัทประกันภัย
ก.
ผู้เอาประกันภัย
จะได้รับการชดใช้จากแต่ละบริษัทประกันภัยเท่าๆ กัน
ข.
ผู้เอาประกันภัย
จะได้รับการชดใช้ทั้งหมดตามจำนวนที่ตนได้รับความเสียหายจริง
ค.
ผู้รับประกันภัย จะต้องทำการชดใช้แบ่งตามสัดส่วนที่ตนได้รับประกันภัยไว้
ง.
ผู้รับประกันภัย
จะต้องทำการชดใช้ก่อนหลังตามลำดับวันเวลาการรับประกันภัย
7 นายสายเช่าตึก 2
ชั้น
ซึ่งมีมูลค่า 1,200,000 บาท ของนายสิงห์ในราคาเดือนละ 10,000
บาท
นายสายได้ทำประกันอัคคีภัยตึกที่เช่าไว้กับบริษัท รุ่งเรืองประกันภัย จำกัด
ในวงเงินเอาประกันภัย 800,000 บาท ต่อมาอีก 1
เดือน
ได้ทำประกันอัคคีภัยตึกดังกล่าวกับบริษัท
ส่องแสงประกันภัย จำกัด อีก 400,000
บาท รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ในวงเงิน
100,000 โดยทั้ง 2
กรมธรรม์มีนายสายเป็นผู้เอาประกนภัยและผู้รับประโยชน์ ต่อมาเกิดไฟฟ้าลัดวงจรไฟไหม้เสียหายตึกชั้น 2
ราคาที่ประเมินความเสียหายเป็นเงิน
200,000 บาท โดยเฟอร์นิเจอร์เสียหาย 20,000
บาท นายสายจะได้รับค่าสินไหมทดแทนอย่างไร
ก. ได้รับจากบริษัท รุ่งเรืองประกันภัย จำกัด
อีก 200,000 บาท ได้รับค่าเสียหายเฟอร์นิเจอร์จากบริษัท ส่องแสงประกันภัย จำกัด
อีก 20,000 บาท
ข. ได้รับจากบริษัท
รุ่งเรืองประกันภัย จำกัด 150,000 บาท
ได้รับค่าเสียหายจากบริษัทส่องแสงประกันภัย
จำกัด เป็นค่าตึก 50,000
บาท
ค่าเฟอร์นิเจอร์อีก 200,000 บาท
ค. ได้รับค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าเสียหายเฟอร์นิเจอร์จากบริษัท ส่องแสงประกันภัยจำกัด 20,000
บาท
ง. ไม่ได้รับค่าสินไหมทดแทนใดๆ เลย
8. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับสัญญาประกันภัยตามประมวลแพ่งและพาณิชย์
ก. หลักสุจริตต่อกันอย่างยิ่ง
ข. หลักส่วนได้ส่วนเสียในเหตุที่เอาประกันภัย
ค. หลักการรับช่วงสิทธิ์
ง. หลักการโอนสิทธิ์
9. กรมธรรม์ประกันภัยกฎหมายกำหนดให้มีรายการดังต่อไปนี้เสมอ
ก. ราคาแห่งมูลประกันภัย
ข. วัตถุที่เอาประกันภัย
ค. ชื่อผู้รับประโยชน์
ง. ถูกเฉพาะข้อ
ข. และข้อ ค.
10. สัญญาประกันภัยมีบุคคลที่เกี่ยวข้องอยู่ 3
ฝ่าย คือ
ก. ผู้เอาประกันภัย ผู้รับประกันภัย และผู้ชำระเบี้ยประกันภัย
ข. ผู้เอาประกันภัย ผู้รับประกันภัย และตัวแทนนายหน้าประกันภัย
ค. ผู้เอาประกันภัย ผู้รับประกันภัย และผู้ขอเอาประกันภัย
ง. ผู้เอาประกันภัย ผู้รับประกันภัย และผู้ชำระเบี้ยประกันภัย
11. บุคคลภายนอกในกรณีการประกันภัยค้ำจุน หมายถึง
ก.
บุคคลทุกคนที่มิใช่ผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัย
ข. บุคคลที่มิใช่คนในครอบครัวของผู้เอาประกันภัย
ค.
บุคคลที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิดของผู้เอาประกันภัย
ง. ถูกทุกข้อ
12. ลักษณะของสัญญาประกันภัย เป็นสัญญาประเภทใด
ก. เป็นสัญญาต่างตอบแทน
ข. เป็นสัญญาที่ต้องลงลายมือชื่อทั้ง 2 ฝ่าย
ค. เป็นสัญญาที่ต้องมีการรับผิดต่อบุคคลภายนอก
ง. ถูกทุกข้อ
13. วัตถุต่อไปนี้สิ่งใดเอาประกันภัยไม่ได้
ก. ความซื่อสัตย์สุจริตของมนุษย์
ข. ความประมาทเลินเล่อของมนุษย์
ค.
ความรับผิดในวิชาชีพซึ่งต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะ
ง. ไม่มีข้อใดถูก
14. โมฆียะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมายถึง
ก.
การกระทำที่ใช้บังคับได้ตามกฎหมายจนกว่าจะถูกบอกล้างสัญญา
ข. การกระทำที่เสียเปล่ามาแต่ต้นไม่มีผลบังคับได้เลย
ค. การกระทำที่ถือได้ว่าขัดต่อกฎหมาย ถือว่าไม่มีการแสดงเจตนา
ง.
การกระทำที่สมบูรณ์เฉพาะบางส่วนจนกว่าจะให้สัตยาบัน
15.
คำว่า “ผู้เอาประกันภัย” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
หมายถึง
ก. คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย
ข. คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ค. บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทน
ง. บุคคลผู้จะพึงได้รับเบี้ยประกันภัย
16. ผู้เอาประกันภัยกับผู้รับประโยชน์จะเป็นบุคคลเดียวกันได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ก. ได้
เพราะกฎหมายระบุไว้
ข. ไม่ได้
เพราะกฎหมายห้ามไว้
ค. ไม่ได้
เพราะไม่ถูกต้องตามหลักการประกันภัย
ง.
ได้หรือไม่แล้วแต่บริษัทประกันภัยจะอนุมัติให้เป็นรายๆ ไป
17. คำว่า “ผู้รับประกันภัย” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมายความถึง
ก.
คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งให้
ข. ตัวแทนประกันภัยผู้ได้รับมอบอำนาจจากบริษัท
ค. คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย
ง. บุคคลผู้จะพึงได้รับค่าสินไหมทดแทน
18. คู่สัญญาฝ่ายซึ่งตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เรียกว่า
ก. ผู้รับประโยชน์
ข. ผู้เอาประกันภัย
ค. ผู้รับประกันภัย
ง. ถูกทุกข้อ
19. สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาที่มีการตกลงระหว่างบุคคล 2
ฝ่าย คือ
ก.
ผู้รับประกันภัยฝ่ายหนึ่งกับผู้รับประโยชน์ฝ่ายหนึ่ง
ข.
ผู้รับประกันภัยฝ่ายหนึ่งกับผู้เอาประกันภัยฝ่ายหนึ่ง
ค.
ผู้รับประกันภัยฝ่ายหนึ่งกับตัวแทนประกันภัยฝ่ายหนึ่ง
ง.
ผู้รับประกันภัยฝ่ายหนึ่งกับนายหน้าประกันภัยฝ่ายหนึ่ง
20. คำว่า “ผู้มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัย” ตามความหมายของการประกันภัย หมายถึง
ก. บุคคลที่เป็นทายาทโดยธรรมของผู้เอาประกันภัย
ข. บุคคลที่ได้รับความเสียหายจากการเอาประกันภัย
ค. บุคคลที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ง. ถูกทุกข้อ
21. สัญญาประกันภัยจะมีผลผูกพันคู่สัญญาต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัย ขณะที่ทำสัญญาประกันภัย ถูกต้องหรือไม่
ก. ถูกต้อง
เพราะกฎหมายบัญญัติไว้
ข. ไม่ถูกต้อง
เพราะบางเรื่องกฎหมายกำหนดให้ทำได้
ค. ไม่ถูกต้อง
เพราะผู้เอาประกันภัยไม่จำเป็นต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยไว้
ง. ไม่ถูกต้อง
เพราะผู้เอาประกันภัยไม่จำเป็นต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยหลังทำสัญญาได้
22. คำกล่าวที่ว่า สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาต่างตอบแทน ถูกหรือไม่
ก. ไม่ถูก
เพราะเป็นหน้าที่ฝ่ายเดียวของผู้รับประกันภัยที่จะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทน
ข. ถูก
เพราะผู้รับประกันภัยมีหน้าที่จ่ายสินไหมทดแทน และผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่จ่ายเบี้ยประกันภัย
ค. ไม่ถูก
เพราะเป็นสัญญาฝ่ายเดียว
ง. ไม่ถูก
เพราะเป็นสัญญาระหว่างผู้รับประกันภัย
ผู้เอาประกันภัย และผู้รับประโยชน์
23. สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาต่างตอบแทน หมายความว่า
ก.
ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่ต้องส่งเบี้ยประกันภัย แต่ผู้รับประกันภัยไม่มีหน้าที่ใด ๆ
ข. ผู้รับประกันภัยมีหน้าที่ต้องใช้จำนวนเงินเอาประกันภัยตามที่ได้กำหนดไว้ แต่ผู้เอาประกันภัยไม่มีหน้าที่ใดๆ
ค.
ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่ต้องส่งเบี้ยประกันภัยตามที่กำหนดไว้และผู้รับประกันภัยมีหน้าที่จ่ายค่าสินไหมทดแทน
ง. ถูกเฉพาะข้อ
ข. และข้อ ค.
24. สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาซึ่งต้องอาศัยความซื่อสัตย์สุจริต คำกล่าวนี้ท่านเห็นว่าถูกต้องหรือไม่
ก. ถูกต้อง
ข. ไม่ถูกต้อง
ค. ไม่จำเป็นต้องอาศัยความซื่อสัตย์สุจริต
ง.
เป็นหน้าที่ของผู้รับประกันภัยที่ต้องใช้ความระมัดระวังเอาเอง
25. สัญญาประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยยกเอาภัยใดโดยเฉพาะ เป็นข้อพิจารณาเบี้ยประกันภัยเพิ่มขึ้น
หากภัยนั้นหมดไปแล้ว
ก.
ผู้เอาประกันภัยชอบที่จะได้ลดเบี้ยประกันภัยส่วนที่เพิ่มนั้นลงมาอยู่ในอัตราปกติ
ข.
ผู้เอาประกันภัยจะได้ลดเบี้ยประกันภัยต่อเมื่อบริษัทประกันภัยยินยอม
ค. ผู้เอาประกันภัยไม่มีสิทธิได้ลดเบี้ยประกันภัยเลย
ง. ไม่มีผลผูกพัน
เพราะบังคับคดีไม่ได้
26. สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาที่ต้องอาศัยความซื่อสัตย์สุจริตใจต่อกันอย่างยิ่ง กรณีใดที่ถือว่าไม่สุจริตต่อกันอย่างยิ่ง
ก.
ผู้รับประกันภัยไม่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่แท้จริง
ข. ตัวแทนประกันภัยไม่แถลงข้อความจริงให้ผู้เอาประกันภัยทราบ
ค.
ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยแถลงข้อความเท็จซึ่งเป็นสาระสำคัญของสัญญาประกันภัย
ง. ผู้เอาประกันภัยแถลงข้อความเท็จจริงซึ่งเป็นสาระสำคัญของสัญญาประกันภัย
27. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะประกันภัยมีบทบัญญัติให้สัญญาประกันภัยตกเป็นโมฆียะ คำว่า “โมฆียะ” หมายถึง
ก. การกระทำที่สมบูรณ์
ใช้บังคับกันได้ตามกฎหมายจนกว่าจะถูกบอกล้างสัญญา
ข.
การกระทำที่เสียเปล่ามาแต่เริ่มแรกไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย
ค. การกระทำที่ถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย
ง. การกระทำที่สมบูรณ์บางส่วนจนกว่าจะได้สัตยาบัน
28. กรมธรรม์ประกันภัยนั้นกฎหมายบัญญัติว่าต้องลงลายมือชื่อของ
ก. ผู้รับประโยชน์
ข. ผู้เอาประกันภัย
ค. ผู้รับประกันภัย
ง. ผู้รับประกันภัยร่วมกับผู้เอาประกันภัย
29. เมื่อผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัยตกลงทำสัญญาประกันภัย แล้วผู้รับประกันภัยจะต้องส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือไม่
ก. ต้องส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้ ถ้าผู้เอาประกันภัยร้องขอ
ข. ต้องส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้ แม้ผู้เอาประกันภัยจะไม่ร้องขอ
ค. จะส่งมอบให้หรือไม่ ย่อมแล้วแต่ผู้รับประกันภัย
ง. จะส่งมอบให้หรือไม่ก็ได้ เนื่องจากกฎหมายไม่ได้บังคับไว้
30. กรมธรรม์ประกันภัยจะต้องมีข้อความระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้เสมอไปหรือไม่
ก. จะต้องระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้เสมอ
ข. จะมีหรือไม่แล้วแต่ผู้เอาประกันภัย
ค. จะมีหรือไม่แล้วแต่เงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย
ง. จะต้องระบุชื่อเพราะกฎหมายกำหนดไว้
31. กรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยต้องส่งมอบให้กับผู้เอาประกันภัยนั้น
ก. ต้องมีเนื้อความต้องตามสัญญาประกันภัย
ข. ไม่จำเป็นต้องมีเนื้อความต้องตามสัญญาประกันภัย
ค. จะมีเนื้อความต้องตามสัญญาประกันภัยหรือไม่ก็ได้
ง. จะมีเนื้อความอย่างไรก็ได้ ทั้งนี้แล้วแต่ผู้รับประกันภัยจะเห็นสมควร
32. กรมธรรม์ประกันภัยต้องมีรายการดังต่อไปนี้ด้วยเสมอ คือ
ก. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้รับประกันภัย
ข. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้เอาประกันภัย
ค. ราคาแห่งมูลค่าประกันภัย
ง. ถูกเฉพาะข้อ
ก. และข้อ ข.
33. ระยะเวลาในการบอกล้างโมฆียะ
กรณีไม่เปิดเผยข้อความจริงและแถลงข้อความเท็จจริง คือ
ก. 1 ปี นับแต่ทำสัญญาประกันภัย
ข. 2 ปี นับแต่สัญญาประกันภัย
ค. 1 เดือน
นับแต่ทราบมูลเหตุจะบอกล้างได้
ง. ถูกทุกข้อ
34. เหตุการณ์ข้อใดแสดงว่า
บริษัทประกันภัยได้ให้คุ้มครองตามสัญญาประกันภัยแล้ว
ก. นายสุขโทรแจ้งบริษัท แสงฟ้าประกันภัย จำกัด
ขอประกันภัยรถยนต์โดยแจ้งรายละเอียดของรถและบริษัทประกันภัยได้แจ้งเลขที่การรับประกันภัยให้นาสุขทราบโดยนายสุขยังมิได้จ่ายเบี้ยประกันภัย
ข.
นายกล้ากรอกใบคำขอเอาประกันชีวิตและชำระเบี้ยประกันภัยที่บริษัท โชคชัยประกันชีวิต จำกัด
ค.
นายคล้าวได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากบริษัทประกันชีวิตว่ายินดีรับประกันชีวิตให้โดยต้องเสียเบี้ยประกันภัยอีก 200 บาท
ง. นายขันได้รับอนุมัติให้กู้เงินจากธนาคาร ซึ่งธนาคารได้มีสัญญากับบริษัท เพิ่มสุขประกันชีวิต จำกัด
ให้รับประกันชีวิตแก่ลูกค้าธนาคารเพื่อคุ้มครองหนี้ โดยมีธนาคารผู้รับประโยชน์
35. ตามสัญญาประกันภัยเงินที่ผู้เอาประกันภัยต้องให้กับผู้รับประกันภัย เรียกว่า
ก. ค่าสินไหมทดแทน
ข. ดอกเบี้ย
ค. เบี้ยประกันภัย
ง. ค่าธรรมเนียม
36. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติว่า
กรมธรรม์ประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยต้องส่งมอบให้แก่ผู้เอาประกันภัย ต้องระบุวันสัญญาประกันภัยด้วย “วันทำสัญญาประกันภัย” หมายถึง
ก. วันที่สัญญาประกันภัยเกิดขึ้น
ข. วันที่ผู้เอาประกันภัยกรอกใบคำขอเอาประกันภัย
ค.
วันที่ตัวแทนประกันภัยเสนอขายกรมธรรม์ประกันวินาศภัย
ง.
วันที่ตัวแทนประกันภัยได้รับเบี้ยประกันภัยงวดแรกจากผู้เอาประกันภัย
37. สัญญาประกันภัย มีผลเกิดขึ้นเมื่อใด
ก. บริษัทประกันภัยตกลงรับประกันภัย
ข. ผู้จัดการสาขาทราบเรื่องการประกันภัย
ค. ตัวแทนประกันภัยรับเงินจากผู้เอาประกันภัย
ง.
ได้มีการส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย
38. กรมธรรม์ประกันภัย มีผลยกเลิกเมื่อใด
ก. ผู้รับประโยชน์บอกเลิกสัญญาประกันภัย
ข. ผู้เอาประกันภัยบอกเลิกสัญญาประกันภัย
ค.
ผู้เอาประกันภัยไม่ชำระเบี้ยประกันภัยภายใน 30 วัน
ง. ผู้เอาประกันภัยตาย
39. อายุความฟ้องร้องตามสัญญาประกันวินาศภัย มีระยะเวลาเท่าใด
ก. 2 ปี
ข. 1
ปี
ค. 6 เดือน
ง. 3
เดือน
40. อายุความฟ้องเรียกค่าเบี้ยประกันภัยตามสัญญาประกันวินาศภัย มีระยะเวลาเท่าใด
ก. 1 ปี
ข. 3 เดือน
ค. 6 เดือน
ง. 2
ปี
41. คำว่า “ค่าสินไหมทดแทน” หมายถึง
ก. ค่าเสียหายที่จะต้องจ่ายตามสัญญาประกันวินาศภัย
ข. ค่าเบี้ยประกันภัย
ค. ราคาทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
ง. จำนวนเงินเอาประกันภัย
42. ผู้เอาประกันภัยบอกเลิกสัญญาประกันภัยเมื่อใด
ก. ผู้รับประกันภัยล้มละลาย
ข. ผู้รับประกันภัยไม่ส่งกรมธรรม์ประกันภัยให้
ค. ผู้เอาประกันภัยไม่ส่งเบี้ยประกันภัย
ง. บอกเลิกเมื่อใดก็ได้
43. ผู้รับประกันภัยรับช่วงสิทธิ์ได้ในกรณีใด
ก. วินาศภัยอันเกิดจากการกระทำผิดของบุคคลภายนอก
ข. วินาศภัยเกิดจากการกระทำผิดของผู้เอาประกันภัย
ค. วินาศภัยเกิดจากการกระทำผิดของผู้รับประโยชน์
ง. ถูกทุกข้อ
44. เบี้ยประกันภัย หมายถึง
ก. จำนวนเงินที่เอาประกันภัย
ข. เงินค่าเสียหาย
ค. เงินที่ผู้เอาประกันภัยต้องจ่ายให้รู้รับประกัน
ง. เงินค่าบำเหน็จ
45. สัญญาประกันภัยสิ้นผลบังคับเมื่อใด
ก. ผู้รับประกันภัยล้มละลาย
ข. ผู้เอาประกันภัยตาย
ค. ผู้รับประโยชน์ตาย
ง.
ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประกันภัยบอกเลิกสัญญาประกันภัย
46. นายเก่งสั่งให้นายนัฐลูกจ้างขับรถซึ่งเอาประกันภัยไว้กับบริษัท โชคดีประกันภัย จำกัด
ไปส่งสินค้า
ปรากฏว่าคันดังกล่าวได้ชนบ้านนายหน่อยได้รับความเสียหาย นายหน่อยมีสิทธิเรียกร้องจากผู้ใดบ้าง
ก. นายเก่ง
ข. นายนัฐ
ค. บริษัท
โชคดีประกันภัย จำกัด
ง. ถูกทุกข้อ
47. ผู้เอาประกันภัยจะบอกเลิกสัญญาประกันภัยกับใครได้บ้าง
ก. ตัวแทนประกันภัย
ข. ผู้จัดการสาขา
ค. ผู้รับประกันภัย
ง.
สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
48. กรณีใดบ้างที่ผู้รับประกันภัยบอกล้างสัญญาประกันภัยไม่ได้
ก.
ผู้เอาประกันภัยไม่เปิดเผยข้อความจริงในสิ่งซึ่งเป็นสารถสำคัญของสัญญา
ข.
ผู้เอาประกันแถลงข้อความอันเป็นเท็จในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของสัญญา
ค. บริษัทรู้ข้อเท็จจริงนั้นอยู่ก่อนแล้ว แต่ยังได้รับประกันภัยไว้
ง. ไม่มีข้อถูก
49. วัตถุที่เอาประกันภัยได้คือข้อใด
ก. บุคคล
ข. ทรัพย์สิน
ค. ความรับผิดตามกฎหมาย
ง. ถูกทุกข้อ
50. สัญญาประกันภัยค้ำจุนคือข้อใด
ก. สัญญาประกันภัย
ซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลอีกคนหนึ่งในนามของผู้เอาประกันภัย
ข. สัญญาประกันภัย
ซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะชดใช้วัตถุที่เอาประกันภัย
ค. สัญญาประกันภัย
ซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะชดใช้ความเสียหายของบุคคลภายนอก
ง. ถูกทุกข้อ
51. ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามข้อใด
ก. เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง
ข. เพื่อความบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สิน
ซึ่งได้เอาประกันภัยไว้เพราะได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันความวินาศภัย
ค. เพื่อบรรดาค่าใช้จ่ายอันสมควร
ซึ่งได้เสียไปเพื่อรักษาทรัพย์สินซึ่งเอาประกันภัยไว้นั้นมิให้วินาศ
ง. ถูกทุกข้อ
52. การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนการกระทำได้ด้วยวิธี
ก. จ่ายเป็นตั๋วเงิน
ข. จัดซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพเดิม
ค. จัดการหาของทดแทน
ง. ถูกทุกข้อ
53. หน้าที่สำรวจความเสียหายเป็นหน้าที่ของใคร
ก. ผู้รับประกันภัย
ข. พนักงานสอบสวน
ค. ผู้เอาประกันภัย
ง. นายหน้าประกันภัย
54.
การคืนเบี้ยประกันภัยจะกระทำได้ในกรณีใด
ก. ผู้รับประกันภัยบอกเลิกสัญญาประกันภัย
ข. ผู้เอาประกันภัยบอกเลิกสัญญาประกันภัย
ค. ผู้รับประโยชน์บอกเลิกสัญญาประกันภัย
ง. ถูกทั้ง ข้อ ก. และข้อ ข.
55. หลักการเฉลี่ยจะใช้ได้ในกรณีใดบ้าง
ก. มีกรมธรรม์ประกันภัยสองฉบับขึ้นไป
ข. คุ้มครองวัตถุที่เอาประกันภัยชนิดเดียวกัน
ค. คุ้มครองภัยชนิดเดียวกัน
ง. ถูกทุกข้อ
56. รายการใดที่อาจจะไม่ต้องระบุในกรมธรรม์ประกันภัยก็ได้
ก. วัตถุที่เอาประกันภัย
ข. จำนวนเงินที่เอาประกันภัย
ค. วันทำสัญญาประกันภัย
ง. ชื่อผู้รับประโยชน์
57. กรณีใดบ้างต่อไปนี้ที่สัญญาประกันภัยไม่คุ้มครอง
ก. ผู้เอาประกันภัยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
ข. ผู้เอาประกันภัยทุจริต
ค. ผู้เอาประกันภัยไม่ชำระเบี้ยประกันภัย
ง. ถูกทั้ง ข้อ
ก. และข้อ ข.
58. สัญญาประกันภัยใดที่ผู้รับประกันภัยจะรับช่วงสิทธิ์ไม่ได้
ก. ประกันภัยรถยนต์
ข. ประกันอัคคีภัย
ค. ประกันภัยเบ็ดเตล็ด
ง. ประกันชีวิต
59. สัญญาประกันภัยซ้ำซ้อน ข้อใดที่ถือว่าทำพร้อมกัน
ก. ทำปีเดียวกัน
ข. ทำเดือนเดียวกัน
ค. ทำสัปดาห์เดียวกัน
ง. ทำวันเดียวกัน
60. สัญญาประกันภัยใดที่ไม่ผูกพันคู่สัญญา
ก.
สัญญาประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
ข. สัญญาประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยไม่มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
ค.
สัญญาประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
ง.
สัญญาประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยไม่มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
61. หลักการจ่ายค่าสินไหมทดแทนจะสัมพันธ์กับหลักการในข้อใดมากที่สุด
ก. หลักการชำระเบี้ยประกันภัย
ข. หลักการคำนวณเบี้ยประกันภัย
ค. หลักการรับช่วงสิทธิ์
ง.
หลักการชดใช้ค่าเสียหายตามจริงแต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัย
62. การจ่ายค่าสินไหมทดแทนของผู้รับประกันภัยในกรณีใดบ้างไม่อาจรับช่วงสิทธิ์ได้
ก.
สำคัญผิดในการมีส่วนได้เสียในวัตถุที่เอาประกันภัย
ข.
สำคัญผิดว่ากรมธรรม์ประกันภัยมีผลใช้บังคับในขณะที่เกิดวินาศภัย
ค.
การจ่ายค่าสินไหมทดแทนโดยไม่มีความรับผิดตามสัญญาประกันภัย
ง. ถูกทุกข้อ
63. หลักสุจริตต่อกันอย่างยิ่งตามกฎหมายประกันภัย หมายถึง
การกระทำของผู้ใด
ก. ตัวแทนประกันภัย
ข. ผู้เอาประกันภัย
ค. ผู้รับประโยชน์
ง. นายหน้าประกันภัย
64. ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ของผู้เอาประกันภัย
ก.
เปิดเผยข้อความจริงในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญของสัญญาประกันภัย
ข. ป้องกันทรัพย์สินมิให้เกิดความเสียหายตามที่สมควรจะต้องกระทำ
ค.
บอกกล่าวการเกิดวินาศภัยในทันที่ที่สามารถกระทำได้
ง. รับช่วงสิทธิ์ในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
65. กฎหมายเกี่ยวกับการประกันภัยมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายใดมากที่สุด
ก. การพนันขันต่อ
ข. ละเมิด
ค. ครอบครัว
ง. มรดก
66.
บุคคลใดมีหน้าที่ชำระค่าเบี้ยประกันภัยตามกฎหมาย
ก. ผู้รับประโยชน์
ข. ผู้รับประกันภัย
ค. บุคคลภายนอกผู้กระทำละเมิด
ง. ผู้เอาประกันภัย
67. บุคคลใดมีหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตากกฎหมาย
ก. ผู้รับประกันภัย
ข. ตัวแทนประกันภัย
ค. ผู้รับประโยชน์
ง. นายหน้าประกันภัย
68. บุคคลใดมีสิทธิ์ได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกฎหมาย
ก. ผู้เอาประกันภัย
ข. ผู้รับประโยชน์
ค. ผู้เสียหาย
ง. ถูกทุกข้อ
69. ผู้เอาประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์เสียชีวิต สัญญาประกันภัยดังกล่าวสิ้นสุดหรือไม่
ก. สิ้นสุด
บริษัทประกันภัยต้องคืนค่าเบี้ยประกันภัย
ข. ไม่สิ้นสุด
ตกทอดแก่ทายาทผู้รับโอนรถยนต์ดังกล่าว
ค. ผู้รับประกันภัยเป็นผู้พิจารณา
ง. ไม่มีข้อใดถูก
70. กรณีใดที่สัญญาประกันภัยไม่มีผลผูกพันคู่สัญญา
ก. ผู้เอาประกันภัยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
ข. ผู้เอาประกันภัยจงใจทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
ค.
ผู้เอาประกันภัยไม่มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
ง. ถูกทุกข้อ
71. กรณีใดที่ผู้รับประกันภัยทรัพย์สินไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย
ก. ผู้เอาประกันภัยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
ข. บุคคลภายนอกทุจริตทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
ค. บุคคลภายนอกจงใจทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
ง. ถูกทุกข้อ
72. กรณีใดที่ผู้รับประกันภัยรถยนต์ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย
ก.
ผู้เอาประกันภัยประมาทเลินเล่อทำให้รถยนต์เสียหาย
ข. ผู้รับประโยชน์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้รถยนต์เสียหาย
ค. บุคคลภายนอกจงใจทำให้รถยนต์เสียหาย
ง. ถูกเฉพาะข้อ
ก. และข้อ ข.
73. กรณีใดที่ผู้รับประกันภัยทรัพย์สินไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย
ก.
ผู้เอาประกันภัยประมาทเลินเล่อทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
ข. ผู้รับประโยชน์ประมาทเลินเล่อทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
ค. ผู้รับประโยชน์ทุจริตทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
ง. ถูกทุกข้อ
74. กรณีใดที่ผู้รับประกันภัยทรัพย์สินไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย
ก.
ผู้เอาประกันภัยประมาทเลินเล่อทำให้รถยนต์เสียหาย
ข. ผู้รับประโยชน์ประมาทเลินเล่อทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
ค. บุคคลภายนอกทุจริตทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
ง. ผู้เอาประกันภัยทุจริตทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
75. กรณีใดที่ผู้รับประกันภัยทรัพย์สินไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย
ก.
ผู้เอาประกันภัยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
ข. ผู้รับประโยชน์ทุจริตทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
ค. ผู้เอาประกันภัยทุจริตทำให้ทรัพย์สินเสียหาย
ง. ถูกทุกข้อ
76. สัญญาประกันภัยค้ำจุน คุ้มครองอะไร
ก. คุ้มครองทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
ข. คุ้มครองทรัพย์สินบุคคลภายนอก
ค. คุ้มครองความรับผิดของผู้เอาประกันภัย
ง. คุ้มครองความรับผิดชอบของผู้รับประกันภัย
77. ตัวอย่างของความไม่สมประกอบในเนื้อวัตถุที่เอาประกันภัย คือข้อใด
ก. อาคารถล่ม
เนื่องจากสัดส่วนของปูนที่ไม่ได้มาตรฐาน
ข. นุ่นหรือปอที่เก็บไว้ในโกดังถูกไฟไหม้ที่ลุกลามมาจากหญ้าแห้งที่ติดไฟนอกโกดังเพราะโกดังไม่มีกำแพงกันไฟ
ค. ถูกทั้งข้อ
ก. และข้อ ข.
ง. ผิดทั้งข้อ ก.
และข้อ ข.
78. สัญญาประกันภัย มีลักษณะอย่างไร
ก. เป็นสัญญาทางแพ่ง
ข. เป็นสัญญาต่างตอบแทน
ค. เป็นสัญญาที่ลงลายมือชื่อฝ่ายเดียว สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้
ง. ถูกทุกข้อ
79. ผู้เอาประกันภัยกับผู้รับประโยชน์จะเป็นบุคคลเดียวกันได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ก. ได้
เพราะกฎหมายระบุไว้
ข. ไม่ได้
เพราะกฎหมายห้ามไว้
ค. ไม่ได้
เพราะไม่ถูกต้องตามหลักการประกันภัย
ง. ได้หรือไม่แล้วแต่บริษัทจะอนุมัติให้เป็นรายๆ
ไป
80. ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยด้วยหรือไม่
ก. ผู้รับประโยชน์จะเป็นใครก็ได้
ไม่จำเป็นต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัย
ข.
ต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยเพราะกฎหมายกำหนดไว้
ค.
ถ้าไม่มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยสัญญาจะตกเป็นโมฆียะ
ง. ไม่มีคำตอบข้อใดถูก
81. ลักษณะสำคัญของสัญญาประกันภัย คือ
ก.
ผู้เอาประกันภัยต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัย
ข.
ผู้เอาประกันภัยไม่จำเป็นต้องมีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัย
ค.
ผู้รับประโยชน์ต้องมีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่เอาประกันภัย
ง.
เป็นสัญญาพนันขันต่อว่าทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัยจะเสียหายเมื่อใด
82. คำกล่าวที่ว่า “สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาต่างตอบแทน” ถูกต้องหรือไม่
ก. ไม่ถูกต้อง
ข. ถูกต้อง
ค. ไม่ถูกต้อง
เพราะที่ถูกเป็นสัญญาฝ่ายเดียว
ง. ไม่ถูกต้อง
เพราะที่ถูกเป็นสัญญาระหว่างผู้เอาประกันภัย ผู้รับประกันภัย และผู้รับประโยชน์
83. หลักการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันวินาศภัย คือ
ก. ชดใช้ตามความเสียหายที่แท้จริง
ข.
ชดใช้ตามความเสียหายที่แท้จริงแต่ไม่เกินกว่าจำนวนเงินเอาประกันภัย
ค. ชดใช้เป็นเงินจำนวนแน่นอนตามจำนวนเงินซึ่งเอาประกันภัยไว้
ง. ชดใช้ตามที่ผู้รับประกันภัยเห็นสมควร
84. สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาต่างตอบแทน หมายความว่า
ก.
ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่ต้องส่งเบี้ยประกันภัย แต่ผู้รับประกันภัยไม่มีหน้าที่ใดๆ
ข. ผู้รับประกันภัยมีหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ผู้เอาประกันภัยไม่มีหน้าที่ใดๆ
ค. ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่ต้องส่งเบี้ยประกันภัย
และขณะเดียวกันผู้รับประกันภัยมีหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีวินาศภัยเกิดขึ้น
ง. ถูกเฉพาะข้อ ข. และข้อ ค.
85. สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาที่ต้องอาศัยความซื่อสัตย์สุจริตต่อกันอย่างยิ่ง ท่านเห็นว่าถูกต้องหรือไม่
ก. ถูกต้อง
เพราะเป็นหน้าที่ของผู้เอาประกันภัย
ข. ไม่ถูกต้อง
เพราะเป็นหน้าที่ของผู้รับประกันภัย
ค. ถูกต้อง
เพราะเป็นหน้าที่ของผู้รับประโยชน์
ง. ไม่ถูกต้อง
เพราะเป็นหน้าที่ของผู้รับประกันภัยที่ต้องระมัดระวังตนเอง
เฉลยข้อสอบวิชาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่างด้วยการประกันภัย
1.
ง 33. ค 65.
ข
2.
ก 34.
ก 66.
ง
3.
ก 35. ค 67.
ก
4.
ง 36.
ก 68.
ง
5.
ค 37.
ก 69. ข
6.
ก 38.
ข 70.
ค
7.
ค 39.
ก 71.
ก
8.
ง 40.
ง 72.
ข
9.
ข 41.
ก 73.
ค
10.ง 42.
ง 74.
ง
11.ง 43.
ก 75.
ง
12.ก 44.
ค 76.
ค
13.ง 45.
ง 77.
ก
14.ก 46.
ง 78.
ง
15.ก 47.
ค 79.
ก
16.ก 48.
ค 80.
ก
17.ก 49. ง 81.
ก
18.ข 50. ก 82.
ข
19.ข 51.
ง 83.
ข
20.ง 52.
ง 84.
ค
21.ก 53.
ก 85.
ก
22.ข 54.
ง
23.ค 55.
ง
24.ก 56.
ง
25.ก 57.
ง
26.ง 58.
ง
27.ก 59.
ง
28.ค 60.
ง
29.ข 61.
ง
30.ข 62.
ง
31.ก 63.
ข
32.ง 64.
ง
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น